ในโลกที่เทคโนโลยี และสันติภาพต้องเดินไปพร้อมกัน
กลุ่มเยาวชนจากหลากหลายประเทศได้มารวมตัวกันบนเวที Youth Innovation Competition on Global
Governance (YICGG) 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด สร้างสรรค์นวัตกรรม
และผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านแนวคิดภายใต้หัวข้อ “AI for Peace” ณ กรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
และหนึ่งในเยาวชนกลุ่มดังกล่าวนี้ มีตัวแทนนักศึกษาจากสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพัฒนา
(IRD) คณะการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ และไม่เพียงแค่ได้เข้าร่วม
แต่ยังคว้ารางวัลกลับมาด้วยความสามารถและพลังแห่งความร่วมมือข้ามวัฒนธรรม โดยแบ่งรางวัลออกเป็น
Mr. Manoch Sharma ได้รับรางวัล Most Valuable Project (MVP) Miss. Khun Sin Phoo Wai
ได้รับรางวัล Ignite Talk Queen Awards และ Mr. La Pyae Maung นักศึกษาชั้นปีที่ 2
สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพัฒนา (หลักสูตรนานาชาติ) คณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมแข่งขัน
รางวัล “Ignite Talk Queen” บนเวทีเยาวชนระดับโลก พร้อมเปิดมุมมอง “AI กับสันติภาพโลก”
Miss. Sint Phoo Wai นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพัฒนา
(IRD) คณะการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต เจ้าของรางวัล “Ignite Talk Queen”
จากผลงานการพูดในหัวข้อ “When AI Decides Peace”
“การได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเยาวชนเมียนมา เพื่อพูดเรื่องสันติภาพ บนเวทีระดับนานาชาติครั้งนี้
เป็นทั้งความรู้สึกทรงพลังและกินใจ เพราะแม้โลกจะดูห่างไกล แต่เสียงของเราก็สามารถส่งไปถึงได้
การคัดเลือกมีการแข่งขันสูงมาก ผู้สมัครต้องส่งข้อเสนอโครงการเป็นกลุ่ม และผ่านการคัดกรองหลายรอบ
โดยทุกคนต่างมีแนวคิดที่ทรงพลังและหลากหลายจากทั่วโลก หัวข้อของฉันเป็นเรื่อง เมื่อ AI
เป็นผู้ตัดสินสันติภาพ โดยชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีอย่าง AI สามารถทั้งส่งเสริมและทำลายสันติภาพได้
โดยเฉพาะในประเทศที่เปราะบางอย่างเมียนมา
ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลเท็จในโลกออนไลน์จุดชนวนให้เกิดความรุนแรงในโลกจริง
และมีเพียงผู้ตรวจสอบคอนเทนต์ภาษาพม่า 2 คนบน Facebook ที่ไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงนั้นได้
อย่างไรก็ตาม เธอยังเสนอว่า หากได้รับการกำกับอย่างมีจริยธรรม AI สามารถถูกใช้ในระบบเตือนภัยล่วงหน้า
การติดตามสถานการณ์ความขัดแย้ง หรือแม้แต่การศึกษาเพื่อสันติภาพในโลกดิจิทัลได้เช่นกัน
สำหรับประสบการณ์การแข่งในครั้งนี้ทั้งตื่นเต้น ทั้งถ่อมตัว และประทับใจไม่มีวันลืม
แม้จะเคยสงสัยว่าตนเหมาะสมกับเวทีนี้หรือไม่ แต่เมื่อได้พูดแล้ว
ฉันก็รู้ว่าตนมีหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับเยาวชนที่ไม่มีโอกาสบินมาเซี่ยงไฮ้เพื่อเล่าเรื่องราวของพวกเขา
ตลอดการแข่งขันยังได้ทำงานร่วมกับเพื่อนจากหลากหลายประเทศ เช่น จีน บังกลาเทศ ไซปรัส และไทย
โดยร่วมกันออกแบบโครงการและแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่อง สันติภาพ ซึ่งแต่ละคนตีความแตกต่างกันไป เช่น
การกลั่นแกล้งออนไลน์ หรือวิกฤตผู้ลี้ภัย แต่ในความต่างนั้น ทุกคนมีจุดร่วมคือ อยากทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
สำหรับธีมของการแข่งขันในปีนี้ AI for Peace
ทำให้ฉันมองเห็นบทบาทของเทคโนโลยีในทางการทูตและการสร้างสันติภาพอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เมื่อเทคโนโลยีไม่เป็นกลาง เพราะมันสะท้อนค่านิยมของผู้ที่สร้างและควบคุมมัน AI
สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องมือของการกดขี่ อิสรภาพ และสันติภาพยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องของสนธิสัญญา
แต่รวมถึงการบริหารข้อมูล การเขียนโค้ดอย่างมีจริยธรรม และความยุติธรรมทางดิจิทัล
อยากฝากถึงเพื่อนนักศึกษาที่สนใจร่วมเวทีระดับนานาชาติว่า อย่ารอให้พร้อม 100% เพราะไม่มีใครพร้อมจริง
ๆ แค่กล้าที่จะสมัครเข้าร่วมในกิจกรรมที่คุณสนใจ ในกิจกรรมแบบที่คุณเป็น และเปิดใจที่จะฟัง
ทำงานร่วมกันอย่างกล้าหาญ เพราะเวทีแบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของรางวัล
แต่มันคือสะพานเชื่อมมนุษย์ที่เราสามารถร่วมสร้างได้ด้วยหัวใจ
รางวัล Most Valuable Project กับแนวคิด “AI ผู้พิทักษ์ธรรมชาติ”
Mr. Manoch Sharma (Manu) นักศึกษาชั้นปีที่ 3
สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพัฒนา (IRD) คณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต ตนแทบไม่รู้จักโครงการนี้มาก่อน และไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมในระดับนานาชาติเช่นนี้เลย
โอกาสมาถึงแบบไม่คาดคิด เมื่อเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งไม่สามารถเดินทางได้ และอาจารย์ได้ชวนผมเข้าร่วมแทน
“ตอนแรกผมแค่คิดว่าเป็นโอกาสดี ได้เดินทาง และน่าจะสนุก ก็เลยตอบตกลงครับ
ทางทีมยื่นข้อเสนอโครงการไว้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะเข้าร่วมด้วยซ้ำ และแม้จะไม่ได้มีส่วนในช่วงเริ่มต้น
แต่สุดท้ายทีมของผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมงานที่ประเทศจีน
และยิ่งน่าประทับใจขึ้นไปอีกเมื่อทีมคว้ารางวัล 2 จาก 3 รางวัลใหญ่ของงาน ซึ่งเกินความคาดหมายของทุกคน
การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการส่งโครงการเพื่อพิจารณา และหากผ่านการคัดเลือก
ผู้เข้าร่วมจะถูกจับกลุ่มใหม่ในสิ่งที่เรียกว่า World Team
ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักศึกษาจากหลายประเทศเข้ามาทำงานร่วมกัน ทีมของผมประกอบด้วยเพื่อนจากจีน
ญี่ปุ่น จอร์เจีย โคลอมเบีย ปากีสถาน และอินโดนีเซีย แม้จะเพิ่งรู้จักกันในช่วงเวลาเพียง 9 วัน
แต่ทุกคนกลับผูกพันกันอย่างลึกซึ้งผ่านการทำงานหนัก ร่วมทุกข์ร่วมสุข และแบ่งปันวัฒนธรรมที่หลากหลาย
สำหรับรางวัล Most Valuable Project (MVP) หัวข้อ AI for Peace: GAIA Voice – The AI Peacemaker
for Nature โดยนำเสนอแนวคิดการพัฒนา AI ที่สามารถถอดเสียงจากธรรมชาติ เช่น เสียงลมในป่า
ความเครียดของดิน หรือคลื่นอารมณ์จากแม่น้ำ แปลออกมาเป็นภาษาที่มนุษย์เข้าใจได้
เป้าหมายคือเพื่อตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า หยุดยั้งการทำลายธรรมชาติ
และฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก การได้แข่งขันในเวทีนานาชาติที่เซี่ยงไฮ้ผมรู้สึกเป็นเกียรติ
และซาบซึ้งเกินจะบรรยาย ผมได้เจอผู้คนหลากหลาย ได้เรียนรู้ทั้งสิ่งดี และความท้าทายที่ไม่เคยคาดคิด
มันไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่มันเปลี่ยนมุมมองของผมไปเลย ผมตระหนักชัดเลยว่าเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่เครื่องมือ
แต่สามารถเป็นพลังของการทูต ความเห็นอกเห็นใจ และความร่วมมือข้ามพรมแดนได้อย่างแท้จริง”
“จากรังสิตสู่เวทีโลก” เสียงของเยาวชนบนเวทีนานาชาติ กับมุมมองใหม่เรื่อง AI และสันติภาพ
Mr. La Pyae Maung นักศึกษาชั้นปีที่ 3
สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพัฒนา (หลักสูตรนานาชาติ)
คณะการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า โอกาสครั้งนี้เริ่มต้นจากอาจารย์
ที่แนะนำกิจกรรมให้รู้จัก และเขาได้นำเสนอโครงการนโยบายภายใต้หัวข้อ “AI for Peace” ในรอบคัดเลือก
ผลงานของทีมได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยรังสิต
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของมหาวิทยาลัยที่ได้เข้าร่วมเวทีในประเทศจีน
“รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นตัวแทนของ RSU บนเวทีระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
มันเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ แม้ว่าผมเองจะไม่ได้เข้าร่วมในรอบ Ignite Talk เนื่องจากปัญหาเรื่องวีซ่า
แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ในส่วนอื่น ๆ ของการนำเสนอ จนได้รับคำชื่นชมเรื่องทักษะการพูด
และแนวคิดจากผู้ร่วมงาน การได้ไปแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติถือเป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกและท้าทาย
โดยเฉพาะในแง่เนื้อหาทางเทคนิคของ AI ที่ในตอนแรกรู้สึกกังวล แต่ด้วยการเตรียมตัว
และการสนับสนุนจากหลักสูตรที่เรียน ทำให้สามารถมีส่วนร่วมในการอภิปราย แลกเปลี่ยนแนวคิด
และร่วมมือกับผู้เข้าร่วมจากหลายประเทศอย่างมั่นใจ การได้สร้างมิตรภาพกับเพื่อน ๆ
จากทั้งในอาเซียนและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเป็นสิ่งที่ชื่นชอบที่สุด นอกจากการแข่งขันแล้ว
สิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม กับผู้เข้าร่วมหลากหลายชาติ
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเทศจีนผ่านมุมมองของนักศึกษาท้องถิ่นและผู้จัดงาน
ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ได้อ่านจากหนังสืออย่างมาก พวกเราได้แลกเปลี่ยนภาษา วัฒนธรรม พูดคุยเรื่องสังคม
การเมืองจากบริบทของแต่ละประเทศ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ดีเลยครับ สำหรับหัวข้อ AI FOR PEACE
ทำให้ผมมองบทบาทของเทคโนโลยีในด้านการทูตและการสร้างสันติภาพในมุมใหม่
โดยตระหนักว่าการทูตในยุคปัจจุบันต้องพัฒนาไปพร้อมกับโลกดิจิทัล AI
สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องมือพัฒนาและกลไกที่มีพลังในการป้องกันความขัดแย้ง สร้างพื้นที่สนทนาที่เปิดกว้าง
และเสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล
แนวทางแบบเดิมจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์
และได้นำความรู้ที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้
รวมทั้งยังได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากครับสำหรับห้องเรียนอันกว้างใหญ่นี้”
