สกสว. สานพลังภาคีวิจัยร่วมโชว์ผลงานเด่นของกองทุน ววน. ที่สร้างผลกระทบแก่ประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ใน 4 เสาหลัก และความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ของแผนด้าน ววน. ที่นำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้า พร้อมเปิดตัว “วท.กห.” ในฐานะหน่วยให้ทุนใหม่ด้านความมั่นคง

วันที่ 19 ธันวาคม 2568 ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานแถลงข่าวผลงานกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และความสำเร็จของแผนด้าน ววน. ของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 ร่วมกับผู้บริหารหน่วยบริหารและจัดการทุน ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ เพื่อสะท้อนความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ของแผนด้าน ววน. ที่นำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าและชนะอย่างภาคภูมิใจ รวมถึงแสดงให้เห็นคุณค่าและผลกระทบที่ ววน. ส่งมอบแก่ประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนเปิดเวทีระดับนโยบายเพื่อกำหนดทิศทางและออกแบบอนาคต ววน. ของประเทศด้วยความหวังและพลังความร่วมมือ

ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่า ผลงานของกองทุน ววน. ไม่ใช่เพียงการรายงานตัวเลข แต่พิสูจน์ให้เห็นว่า “การลงทุนในความรู้” สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศได้อย่างไร ตั้งแต่ปี 2563-2568 กองทุน ววน. ได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 101,285.97 ล้านบาท โดยมุ่งผลลัพธ์เป็นหลักเพื่อเปลี่ยนทุกภาษีของประชาชนให้กลายเป็นคุณค่าที่เป็นรูปธรรม สร้างมูลค่าการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง เกิดผลกระทบทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเฉลี่ยสูงถึง 3.57 เท่า ยกตัวอย่างจากงบประมาณแผนงานขนาดใหญ่ 7 พันล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 25,000 ล้านบาท

ความสำเร็จของแผน คือ “ววน. ที่จะพาประเทศไทยชนะ” โดยเส้นทางความสำเร็จของกองทุน ววน. จากความร่วมมือของหน่วยบริหารและจัดการทุน ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น 8 เส้นทาง จาก 13 แผน โดยเน้น 4 เสาหลัก ประกอบด้วย

เสาที่ 1 ความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ เส้นทาง “ไทยก้าวสู่อนาคตอาหารโลกด้วยผู้ประกอบการนวัตกรรม” ประกอบด้วย ธุรกิจฐานนวัตกรรมด้านอาหารแห่งอนาคต อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทางการแพทย์ อาหารพื้นถิ่นสู่สากล อาหารฮาลาล และผลไม้มูลค่าสูงที่มีมูลค่าการขายและส่งออกเพิ่มขึ้น “ผู้ประกอบการนวัตกรรมพลังงาน-ชีวภาพ พาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ได้แก่ นวัตกรรมทางเลือกและการจัดการพลังงาน การสร้างมูลค่าการผลิตพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนและพลังงานชีวภาพโดยผู้ประกอบการในประเทศเพิ่มขึ้น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก “ประเทศไทยชนะอนาคตด้วย AI-EV-ธุรกิจนวัตกรรม” เช่น เครื่องยนต์ในน้ำสามมิติคุณภาพสูงเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างคนใต้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจนและง่ายขึ้น SeaTrue CURRENT ปฏิวัติวงการการเลี้ยงกุ้งด้วยหุ่นยนต์ใต้น้ำอัจฉริยะช่วยในการตรวจสอบความเรียลไทม์และการให้อาหารที่ไม่แม่นยำ การพัฒนาโครงข่ายสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะรอบอาคารออฟฟิศ ระบบระบายความร้อน แบตเตอรี่ไฟฟ้าสมรรถนะสูง เป็นต้น

ความสำเร็จของแนวทางทำให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจสูงกว่า 1 พันล้านบาท เกิดตลาดใหม่และผลิตภัณฑ์สีเขียว เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบท้องถิ่นทางการเกษตรสูงถึงร้อยละ 80 ลดการนำเข้าเซนเซอร์จากต่างประเทศ รวมถึงเกิดผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมของประเทศทางเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะระดับโลก เป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต” โดยมี ววน. เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในอุตสาหกรรมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม

เสาที่ 2 การแพทย์และระบบสุขภาพ ได้แก่ เส้นทาง “นวัตกรรมการแพทย์เพื่อความแม่นยำ ขับเคลื่อนไทยสู่การรักษาแห่งอนาคต” เช่น การวิจัยและพัฒนาวัคซีนด้วย HXP-GPOVac ด้วยเทคโนโลยีโมโนโคลนอลแอนติบอดี เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก HPV การผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมและได้รับประโยชน์ สกสว. สานต่อสนับสนุนไทยชนะด้วยงบประมาณ 150 ล้านบาท/ปี และขยายผลไปมหาลัยอื่น ๆ “ยกระดับงานบริการสาธารณสุขไทยด้วยข้อมูลพันธุกรรมและการแพทย์แม่นยำ” เกิดเครือข่ายสถานีเก็บตัวอย่างวิจัยทางคลินิก 41 แห่ง ภายใต้ศูนย์ทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ศูนย์ข้อมูลจีโนมแห่งชาติ และผู้ประกอบการธุรกิจเอกชน
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม คือ ลดการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์จากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ สร้างรายได้ให้ประเทศและภาคเอกชนหลายร้อยล้านบาท เช่น เท้าเทียมสร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 8 ล้านบาท ราคาที่เทียบกับของสูงกวานำเข้า สปสช. ช่วยประหยัดงบได้กว่า 125 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่รวดเร็ว แม่นยำ ลดภาระแพทย์ เช่น ชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับแบบเร็ว (OV Antigen Rapid Test Kit; OV-ATK) ใช้ได้จริงทั่วประเทศขยายผลแก่ สปสช. รวมถึงการให้บริการอ่านภาพถ่ายรังสีและค้นหาอย่างรวดเร็วด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Chest X-ray) เพื่อคัดกรองโรคปอด ได้บรรจุเข้าชุดสิทธิประโยชน์ สปสช. ให้ใช้ในโรงพยาบาล 167 แห่ง สร้างรายได้ประมาณ 55 ล้านบาท ส่วนรวมส่งผลทางอ้อมช่วยระบบปรับเปลี่ยนแนวทางการพึ่งพาตนเอง โดยมี ววน. เป็นฐานของความมั่งคั่งทางสุขภาพในระยะยาว

เสาที่ 3 การลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาส ได้แก่ เส้นทาง “จากความยากจนสู่โอกาสใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และพื้นที่” (กลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ กลุ่มจังหวัดร้อยเอ็ด-กาฬสินธุ์ และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน) เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับงานของคนพิการทุกประเภทเปลี่ยนโลกด้วยข้อมูล เทคโนโลยี และชุมชน สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก คือ รายได้ครัวเรือนรายยากจนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15-20 เกิดอาชีพใหม่จากเกษตรมูลค่าเพิ่ม การแปรรูป และเศรษฐกิจชุมชน ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของเกษตรกรในการทำเกษตร ขณะที่ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ ชุมชนเข้มแข็งมีผลจากการพัฒนา เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติและสังคมสูงวัย และใช้วิทยาศาสตร์สนับสนุนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

เสาที่ 4 ศักยภาพของกำลังคนและสถาบันความรู้ ได้แก่ เส้นทาง “เทคโนโลยีขั้นหน้าท้าทายการแก้ปัญหาระดับโลก” เช่น การวิเคราะห์ดัชนีคาร์บอนที่ทำให้เข้าใจถึงไฮโดรโลยีทางวิศวกรรมเพื่อปรับระดับความเข้มของสภาวะน้ำที่เหมาะสมในขอบเขตป่าพรุและการใช้ก๊าซชีวภาพในการแก้ไขปัญหา และใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุน กนอ. กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของอาหารทางการเกษตรที่ปนเปื้อนและสุขภาพ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับจีนและเกาหลีใต้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างมาตรฐาน แลกเปลี่ยนกำลังคน ยกระดับสถาบันสู่ศูนย์กลางให้บริการวิจัยขั้นแนวหน้า การวิจัยด้านวัสดุขั้นสูงด้วยเทคนิค in-situ/operando ระดับอะตอม เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม

“เปลี่ยนอนาคตประเทศ” ได้แก่ การพัฒนากำลังคนวิจัยและนวัตกรรม เส้นทางอาชีพ โดยมีบุคลากรทักษะสูงจากศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญและศูนย์กลางความรู้กว่า 300 คน มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างชาติกว่า 600 คน และบุคลากรที่มาร่วมมีเครือข่ายเข้มแข็งระดับโลก 51 คน นอกจากนี้ยังพัฒนาด้านสังคมสำหรับยุคตลาดแรงงานอนาคต การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น การใช้ฐานข้อมูลด้านภูมิสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์แก้นักศึกษาและนักวิจัยในพื้นที่ เปลี่ยนพื้นที่ประสบภัยให้เป็นห้องเรียนเสมือนจริง การใช้เทคโนโลยีกับข้อมูลเชิงลึกเพื่อย้อนตรวจสอบสภาพเมื่อน้ำท่วมและแปรเป็นความเสียหายเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ การตอบตอบศูนย์ข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการน้ำในภาคใหญ่ เป็นต้น

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ลดต้นทุนการผลิตและการว่างงาน เพิ่มทักษะแรงงานขั้นสูง เกิดสตาร์ทอัพเชิงเทคโนโลยี ประเทศมีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเป็น “ผู้คิดค้นและออกแบบขณะที่ผลกระทบเชิงระบบทำให้งานวิจัยขึ้นบนหิ้งมาขึ้นห้างและโครงสร้างพื้นฐานที่แก้ปัญหาจริงของประเทศ และมีนโยบายสาธารณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้
ในโอกาสนี้ สกสว. ได้เปิดตัวหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) ใหม่ที่จะดูแลงานวิจัยด้านความมั่นคงประเทศ โดย พล.ท.คม วิริยเวชกุล เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้อนุมัติการจัดตั้งกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมประเภทที่ (2) หน่วยงานด้านการให้ทุน ซึ่งปีนี้มีบทบาทสำคัญเพื่อใช้การวิจัยด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศตรงกับความต้องการของกองทัพในฐานะผู้ใช้งานจริง โดยมุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยด้านความมั่นคงในทิศทางและเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน และมีการบริหารจัดการแบบครบวงจร รวมถึงวางเป้าหมายลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะ วท.กห. จึงได้เข้าพบผู้บริหาร สกสว. เพื่อหารือแนวทางการดำเนินการและเตรียมความพร้อมในฐานะ PMU ความมั่นคง โดยเบื้องต้นตอบรับการบริหารและจัดการทุนนำร่องสอดคล้องกับแผนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคง
